วันอังคารที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

การจัดอันดับการศึกษาไทยในปี 2556



                   การจัดอันดับการศึกษาไทยในปี 2556



การจัดอันดับการศึกษาไทยใ

มองจุดอ่อนการศึกษาไทย
"แม้จะอยู่กลางๆ แต่ประมาทไม่ได้ เพราะในระยะ 8 ปีที่ผ่านมา อันดับรวมของกัมพูชาสูงขึ้นมา 23 อันดับ อินโดนีเซียและฟิลิปปินส์สูงขึ้นมา 19 อันดับ หากไทยยังย่ำอยู่ที่เดิม อีกไม่กี่ปีข้างหน้าเราอาจเห็นแต่หลังเพื่อนอาเซียนทุกคนก็เป็นได้"
และล่าสุด WEF ยังได้เผยแพร่ผลการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศต่างๆ รายงานการศึกษาปีนี้ (2556-2557) ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 37 จาก 148 ประเทศ แม้ว่าอันดับของไทยจะดีขึ้นเล็กน้อยจากปีที่แล้วอยู่ในอันดับที่ 38 จาก 144 ประเทศ 

ที่มาที่ไปของการจัดอันดับสำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน (สสค.) จึงได้ค้นคว้าวิธีประเมินของ WEF มาเล่าแบบง่ายๆ เพื่อให้เกิดความเข้าใจถึงมุมมองของนักธุรกิจโลกที่มีต่อศักยภาพการแข่งขัน ของไทย โดยเฉพาะการศึกษา ซึ่งมีผลต่อการพัฒนาคุณภาพของคนในประเทศนั้นๆ 

WEF เริ่มจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศต่างๆ ครั้งแรกในปี 2547 โดยให้ความสำคัญกับการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจ จึงโยงการศึกษาในฐานะปัจจัยหนุนหรือถ่วงการพัฒนาเศรษฐกิจโดยเฉพาะเกี่ยวกับ ภาคเอกชน เศรษฐกิจไทยเราอยู่ในกลุ่มระดับกลางที่แข่งขันด้วยประสิทธิภาพและต้นทุนการ ผลิตที่ต่ำ ส่วนประเทศกลุ่มที่อยู่ระดับเหนือกลุ่มเรามักจะแข่งขันด้วยการผลิตนวัตกรรม ใหม่ๆ แต่ประเทศกลุ่มต่ำกว่ากลุ่มเรามักจะขุดทรัพยากรออกมาขายหรือใช้
การศึกษาไทยจึงสำคัญเนื่องจากแรงงานที่มีทักษะความสามารถเท่า นั้นจึงจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ และหากคนไทยมีทักษะสูงขึ้นไปก็จะเอื้อให้เราก้าวขึ้นไปสู่เศรษฐกิจนวัตกรรม ได้
สำหรับการประเมินคุณภาพการศึกษาไทย WEF ประเมินด้วยตัวชี้วัดทั้งหมด 10 ตัว ใน 2 หมวด ได้แก่ หมวดที่เรียกว่า “การศึกษาขั้นสูงและการฝึกอบรม” ใช้ตัวชี้วัดเกี่ยวกับมัธยมศึกษาจนถึงอุดมศึกษาและการพัฒนาทักษะขั้นสูง ประเทศไทยได้อันดับที่ 66 ของโลกในหมวดนี้
ในขณะที่ผลประเมินประถมศึกษาแยกไปรวมอยู่กับหมวดที่เรียกว่า “สาธารณสุขและประถมศึกษา” ซึ่งประเทศไทยได้อันดับ 81 ของโลก โดยเมื่อเทียบกับกลุ่มประเทศอาเซียนซึ่งมี 10 ประเทศ ประเทศไทยได้อันดับที่ 5 ในหมวด “การศึกษาขั้นสูงและการฝึกอบรม” และอันดับที่ 7 ในหมวด “สาธารณสุขและประถมศึกษา”
 
แม้จะอยู่กลางๆ แต่ประมาทไม่ได้ เพราะในระยะ 8 ปีที่ผ่านมา อันดับรวมของกัมพูชาสูงขึ้นมา 23 อันดับ อินโดนีเซียและฟิลิปปินส์สูงขึ้นมา 19 อันดับ สิงคโปร์สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องจากอันดับที่ 8 ในปี 2549 เป็นอันดับที่ 2 ในปี 2554 ในขณะที่มาเลเซียกับไทยอันดับถดถอยลง 4 และ5 อันดับ ตามลำดับ ดังนั้นหากฟิลิปปินส์ ลาว พม่า อินโดนีเซียก้าวไปข้างหน้า โดยที่ไทยยังคงย่ำอยู่ที่เดิม ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าเราอาจเห็นแต่หลังเพื่อนอาเซียนทุกคนก็เป็นได้
ทั้งนี้ WEF บ่งบอกว่าประเทศไทยควรแก้ไขระบบการศึกษาที่จุดใด เรามีจุดอ่อนแทบทุกตัวชี้วัด (ดูตาราง) แต่ตัวที่สะดุดตาเพราะรั้งท้ายในอาเซียนน่าจะได้แก่ 1.อัตราเข้าเรียนประถมศึกษา 2. คุณภาพระบบการศึกษา และ 3. คุณภาพประถมศึกษา หมายเลข (3) “คุณภาพประถมศึกษา” นั้นมีความหมายตรงไปตรงมา หมายเลข (2) “คุณภาพระบบการศึกษา” ใช้คำถามอยู่ในหมวดการศึกษาขั้นสูงและการฝึกอบรม ตัวชี้วัดข้อนี้จึงบ่งชี้ภาพกว้างของคุณภาพของมหาวิทยาลัย อาชีวะขั้นสูงรวมถึงมัธยมศึกษา โดยรายงานหน้า 35 WEF ใช้คำบรรยายว่าคุณภาพการศึกษาขั้นสูงของไทยอยู่ระดับ“ต่ำผิดปกติ”